โปรแกรม Picasa

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การประท้วงการรับน้องมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

การประท้วงรับน้องมมส


       ปัญญาชนกว่า 200 คน ส่งจม.เปิดผนึกเรียกร้องปฏิรูประบบรับน้อง

        สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกิจกรรม "รับน้อง" ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งถูกเผยแพร่ทางยูทูบตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2554 ระบุว่าเป็นภาพเหตุการณ์ในคืนวันที่ 5 มิถุนายน 2554 นั้น พวกเรา กลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัย นักกิจกรรมเพื่อสังคมและบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจในประเด็นนี้ ต้องการแสดงความวิตกกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นในกิจกรรม "รับน้อง" ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม รวมถึงในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศ และต้องการให้กำลังใจกับกลุ่มนักศึกษาเสียงข้างน้อยกลุ่มหนึ่งที่ลุกขึ้นแสดงจุดยืนเพื่อปกป้องสิทธิและเสรีภาพของทุกคนในการแสดงความเห็นตามวิถีทางที่เป็นประชาธิปไตยและสันติวิธี
       พวกเราทุกคนตามรายชื่อท้ายจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้รู้สึกหดหู่และสะท้อนใจกับสิ่งที่นักศึกษาส่วนใหญ่กระทำกับนักศึกษาผู้ประท้วงกลุ่มนี้ โดยเฉพาะกับทัศนคติและท่าทีของผู้จัดกิจกรรมที่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง และไม่เปิดโอกาสให้นักศึกษาผู้ประท้วงได้ทำการชี้แจงและ/หรือเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในวงกว้างกับนักศึกษาผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด
      พวกเราทุกคนมีความเชื่ออย่างมั่นคงและจริงใจว่ามหาวิทยาลัยซึ่งเป็นสถานศึกษาขั้นสูงต้องเป็นพื้นที่ที่สมาชิกทุกคนได้รับการประกันสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นขั้นพื้นฐานและควรเป็นสถานที่บ่มเพาะและขัดเกลาให้เชื่อมั่นและยึดถือในคุณค่าประชาธิปไตยและคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมของทุกคนไม่ใช่สถานที่บ่มเพาะและปลูกฝังให้ยอมจำนนต่อการใช้อำนาจที่ไร้ความชอบธรรมหรือการบังคับกล่อมเกลาให้ฝักใฝ่ในระบบเผด็จการอำนาจนิยมรวมทั้งระบบอุปถัมภ์แบบจารีต ซึ่งสวนทางกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง
       อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้เป็นเพียงกรณีตัวอย่าง หรือหนึ่งในกิจกรรมที่เกิดขึ้นทั่วไปในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาจนอาจเรียกได้ว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอัน "ศักดิ์สิทธิ์" ที่ไม่อาจถูกตั้งคำถามหรือ "ลบหลู่" ในมหาวิทยาลัยหลายแห่งก็ว่าได้ ดังจะเห็นได้จากข้อโต้แย้งหรือคำอธิบายของผู้จัดกิจกรรมตามที่ได้ประจักษ์จากวิดีโอนี้ พวกเราจึงเชื่อมั่นว่าวัฒนธรรมการรับน้องแบบนี้จะยังเกิดขึ้นต่อไปในสถานศึกษาทุกแห่งตามที่เคยได้ปฏิบัติกันมาหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและค่านิยมของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะตัวนิสิตนักศึกษาเองถึงแม้พวกเราจะเชื่อว่ากิจกรรม"รับน้อง" ที่ถูกออกแบบจากวิธีคิดดังกล่าว ในนามของระบบ "โซตัส" จะเป็นกิจกรรมที่ ไม่สร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้เกิดการใช้ความรุนแรงอย่างเสรี ปลอดจากความรับผิดชอบและไม่ควรจะได้รับอนุญาตให้เกิดขึ้นต่อไปอีกนั้น แต่พวกเราก็ไม่เชื่อมั่นเช่นกันว่าการบังคับออกคำสั่งจากผู้บริหารสถานศึกษาหรือการกำหนดบทลงโทษกับนักศึกษาผู้จัดกิจกรรมจะเป็นวิถีทางที่ถูกต้องและเหมาะสมที่จะทำให้ระบบการศึกษาไทยหลุดพ้นจากวัฒนธรรมเผด็จการอำนาจนิยมไปได้
       พวกเรากลับเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะต้องเกิดจากความต้องการที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติค่านิยม ความเชื่อของนักศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจการนักศึกษาทั้งระบบ รวมถึงการตระหนักรู้ต่อความอันตรายและผลกระทบเชิงอุดมการณ์ของระบบ "โซตัส" นี้จากสังคมไทยเองด้วย สุดท้าย พวกเราขอให้กำลังใจกับนักศึกษาผู้ประท้วงในเหตุการณ์ดังกล่าว รวมทั้งนิสิตนักศึกษาและ/หรือผู้ใดก็ตามที่เชื่อมั่นในแนวทางเดียวกันและกำลังสร้างสรรค์กิจกรรมรูปแบบใหม่เพื่อช่วยให้ระบบการศึกษาของไทยหลุดพ้นจากค่านิยมและทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยเช่นนี้ขณะเดียวกัน เว็บไซต์ประชาไทได้สัมภาษณ์ นายยุทธนา ลุนสำโรง นิสิตชั้นปีที่ 4 เอกการเมืองการปกครอง วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มนิสิตที่ร่วมตัวกันทำกิจกรรม โดยนายยุทธนาเปิดเผยว่า ภาพที่ถูกเผยแพร่ออกไปนั้น เป็นเหตุการณ์ช่วงค่ำของวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่บริเวณสนามกีฬามหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งเรียกว่าเป็นวันพิสูจน์รุ่น (ยอมรับเป็นรุ่นน้อง) มมส. หลังจากจากมีการรับน้องทั้งมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.54 โดยน้องปีหนึ่งทุกคณะจะต้องมาร่วมกิจกรรมเชียร์ ด้วยการขู่ว่าไม่มาจะไม่ได้รุ่น
       นายยุทธนา ย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นไม่ใช่การสร้างสถานการณ์ มีน้องนักศึกษาเป็นลมจริง ในการรับน้อง และก็มีการพูดว่า การที่มีคนเป็นลมเป็นปกติอย่างนี้ทุกปี ซึ่งส่วนตัวรู้สึกไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ ทุกๆ ปีที่ผ่านมาเขาและเพื่อนๆ ได้ทำกิจกรรมชูป้ายต่อต้านการใช้ความรุนแรงในการรับน้องมาโดยตลอด เพราะเขาและเพื่อนๆ ซึ่งผ่านกระบวนการรับน้องมาแล้ว อีกทั้งส่วนตัวยังเคยเข้าร่วมจัดกิจกรรมเชียร์ในฐานะกรรมการสโมสรนิสิต ได้เห็นถึงความเป็นเผด็จการ จากการกระทำของรุ่นพี่ ทั้งยูนิฟอร์มสีเขียว การให้จัดแถวเหมือนทหาร การก่นด่า ไซโค กดดัน ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมอำนาจนิยม ขณะที่รุ่นน้องที่เข้ามาใหม่ ยังไม่รู้จักใคร ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็อาจมีผลกระทบกับทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
นายยุทธนา กล่าวด้วยว่า จุดหมายของกิจกรรมของเขาคือการขึ้นอ่านแถลงการณ์คัดค้านการรับน้องบนเวที เพราะอยากสื่อสารจุดยืนของพวกเขาออกไปในวงกว้าง โดยเชื่อว่าไม่ได้มีเฉพาะกลุ่มของพวกเขาที่คิดแบบนี้ หากแต่คนอื่นๆ อาจยังไม่กล้าออกมา และประเมินว่ากิจกรรมที่ผ่านมายังไม่สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ จึงคิดกิจกรรมนี้ขึ้น แต่เมื่อขึ้นไปบนเวทีได้กลับไม่สามารถเจราจาเพื่ออ่านแถลงการณ์ผ่านเครื่องขยายเสียงบนเวทีได้ และถูกกันออกไป อีกทั้งยังถูกประกาศไล่ให้ออกจากบริเวณดังกล่าว จึงต้องลงมาเจรจาข้างล่างแต่ก็ไม่เป็นผล
       นิสิตเอกการเมืองการปกครอง กล่าวต่อมาว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่งชี้ถึงการใช้อำนาจเผด็จการที่รุ่นพี่พยายามแสดงออกกับรุ่นน้อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูดที่ว่า "คุณท้าทายอำนาจประธานเชียร์อย่างผม" การขู่ว่าจะเอาชื่ออกจากระบบการเป็นนักศึกษา รวมทั้งการออกคำสั่งว่าให้จดชื่อและบันทึกภาพใบหน้าของเขาและเพื่อนเอาไว้ให้หมดในสถานการณ์วุ่นวาย ยุทธนาเล่าว่า เขาและเพื่อนๆ อีกราว 30 คนที่ทำกิจกรรมร่วมกันได้เตรียมตัวรับไว้แล้วกับความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากทราบว่าสต๊าฟเชียร์มีจำนวนมากกว่าในหลักร้อย แต่การทำกิจกรรมครั้งนี้ยึดตามแนวทางสันติวิธีเพราะพวกเขาเชื่อว่าได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง และหากเกิดการใช้ความรุนแรง กลุ่มสต๊าฟเองจะเป็นคนถูกตั้งคำถามถึงการใช้อำนาจป่าเถื่อน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์คลี่คลายลงได้เนื่องจากมีรุ่นพี่คนหนึ่งมาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย และสุดท้ายรองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต ได้ลงมารับหนังสือที่ลงท้ายชื่อกลุ่มประชาคมเสรี ม.มหาสารคาม ชมรมคนสร้างฝัน ชมรมรัฐศาสตร์สัมพันธ์ กลุ่มเถียงนาประชาคม โดยการรวมตัวของนิสิตจากหลายคณะ ซึ่งเขาคิดว่าอย่างน้อยก็เป็นการสื่อสารไปยังระดับของผู้บริหารมหาวิทยาลัย
       เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้เคยมีความพยายามคัดค้านการใช้ความรุนแรงในการรับน้องหรือไม่ นายยุทธนาตอบว่า จากที่เคยมีโอกาสเป็นกรรมการสโมสรนิสิต เขาได้พยายามเสนอประเด็นนี้ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับในที่ประชุม โดยได้คำตอบว่าเป็น "ประเพณี" แต่เขามองว่า คำตอบนี้ไม่มีการตั้งคำถามว่า ประเพณีนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ส่วนการยื่นหนังสือเพื่อคัดค้านที่ผ่านมามีการทำผ่านคณบดี และกองกิจการนักศึกษา
       "ผมไม่ล้มเชียร์ แต่ผมอยากปฏิรูป เปลี่ยนวิธีการใหม่" เขากล่าวและว่า จุดยืนของเขาและเพื่อนๆ คือการยกเลิกกระบวนการว้าก ส่วนการสอนร้องเพลงก็ควรพูดคุยกันดีๆ ให้มีการใช้วิธีการรับน้องแบบใหม่ๆ เช่น กระบวนการค่ายที่ปลุกจิตสำนึกของนิสิต นักศึกษา เพื่อร่วมแก้ปัญหาต่างๆ ในชุมชน ซึ่งปัญหาของชาวบ้านหรือชุมชนโดยรอบมหาลัยเองก็มีอยู่มากมาย ที่ผ่านมาเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกล้มเชียร์ แต่สิ่งที่เขาต้องการเปลี่ยนแปลงวิธีการมากกว่าเมื่อถามถึงผลที่เกิดขึ้นจากการทำกิจกรรมดังกล่าว นายยุทธนา เล่าว่า ในวันรุ่งขึ้น คณบดีได้เรียกเขาเข้าพบโดยการรายงานของกองกิจการนักศึกษา ซึ่งคณบดีแสดงความกังวลว่าการทำกิจกรรมในครั้งนี้ของเขาอาจกระทบต่อการเรียน เนื่องจากขณะนี้เขาอยู่ในช่วงภาคเรียนสุดท้ายแล้ว แต่เขาเชื่อว่าผลกระทบเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้น ส่วนนิสิตด้วยกัน บางกลุ่มที่เชื่อในระบบเดิมจะถูกตั้งคำถามว่า "ทำไปทำไม" หรือบอกว่าเขาเป็นพวก "มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ" "เป็นพวกกลุ่มก่อกวน" และมีการข่มขู่ในเฟซบุ๊กส่วนตัวด้วย ขณะที่บางกลุ่ม เช่น เพื่อน หรือรุ่นพี่ที่รู้จักซึ่งจบไปแล้วก็จะเข้ามาแสดงความชื่นชม
       ส่วนกรณีที่มีการตั้งคำถามว่ากิจกรรมที่เขาและเพื่อนทำเป็นการข้ามขั้นตอนจากระบบที่มีอยู่แล้วแต่เขามีความคิดว่าแม้จะยื่นเรื่องขอขึ้นพูดบนเวทีแต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะได้รับอนุญาตนายยุทธนา กล่าวต่อมาถึงกิจกรรมภายหลังจากนี้ว่า จะมีการรณรงค์ต่อเนื่องในเรื่องกิจกรรมรับน้องของคณะต่างๆ ซึ่งจะมีขึ้นต่อจากนี้ โดยผ่านการให้ข้อมูลแจกใบปลิว ป้ายผ้า ในตลาดนัดของมหาวิทยาลัย และใช้รถเครื่องเสียงตระเวนไปตามคณะต่างๆ เพื่อให้ข้อมูล โดยตั้งคำถามกับการรับน้อง และผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งจะมีการโยงไปถึงแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วย
       "เชื่อว่ากิจกรรมที่ทำไปจะทำให้ทุกคนตื่นตัว อย่างน้อยก็ตั้งคำถาม ว่าทำไมมีคนไม่เห็นด้วย และคนที่คิดเหมือนกันไม่ใช่แค่นี้ อยากบอกว่าคุณเลิกกลัวได้แล้ว เวลาของความกลัวหมดลงแล้ว" นายยุทธนา กล่าวพร้อมย้ำความเชื่อที่ว่าพลังของคนตัวเล็กตัวน้อยสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ โดยแค่เพียงการให้กำลังใจให้กับคนที่ลุกขึ้นมาทำกิจกรรม หรือร่วมกันเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลต่อๆ กันไป เท่านี้ก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว
       นายยุทธนา ฝากถึงนิสิต นักศึกษาในสถาบันอื่นๆ ว่า มีสถานศึกษาอีกหลายแห่งที่ยังเป็นแบบนี้ และดุเดือดไม่แพ้กัน เสนอว่า ถ้ามีคนคิดแบบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นธรรม โดนกดขี่ ก็ลุกขึ้นมาสู้ร่วมกัน และมันอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวงกว้าได้ ไม่ใช่เพียงแค่ที่มหาสารคาม เรื่องแบบนี้น่าจะถกเถียงได้เยอะ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตของพวกเขาโดยตรง


อ้างอิงแหล่งที่มา;http://www.matichon.co.th/mtc-flv-window.php?newsid=1307627292

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น